หลายๆคนคงเคยรู้สึกท้อแท้ในความสามารถของตัวเอง ท้อแท้ต่อต้นทุนชีวิตที่ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะดี หรือแม้กระทั่งไม่มีใครมองเห็นค่าของเรา หรือคอยดูถูกเราว่าเราสู้เขาไม่ได้ เกิดมาช่างไร้ค่าเสียจริง ... ทำไมคุณต้องให้นิยามตัวเองแบบนั้นล่ะครับ
พูดถึงในแง่เหตุและผลแล้ว เราไม่สามารถสั่งใครใหรักหรือเกลียดเราได้ การสรรเสริญ หรือนินทา เป็น 1 ในโลกธรรม 8 ของพุทธองค์ คือเป็นธรรมดาโลก มีสุขก็มีทุกข์ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา
สมมุติมีคนมาว่ามาดูถูกเรา ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ
คำพวกนี้คนพูดมาเดี๋ยวเขาก็ลืม แต่คนฟังอย่างเรา กลับจำคำด่าคำว่าของเขา ทั้งๆที่ไอ้คนด่ามันพ่นคำออกมาและหายไปไหนแล้วไม่รู้ บางคนจำจนตาย เป็นการรีไซเคิลความทุกข์ให้ตัวเอง ตลอดไป
ทางออกก็คือการปล่อยวาง ใช้ปัญญาพิจารณาตามความจริง
เราก็ต้องย้อนกลับมาดูครับว่า เราเป็นอย่างเขาว่าหรือเปล่า เราถูกชมมากี่หมื่นครั้ง ถูกด่ามากี่หมื่นครั้ง ถูกชมเราก็ชั่วเหมือนเดิม ถูกด่าเราก็ชั่วเหมือนเดิม เพราะตัวเราเองยังไม่ดี
แต่ถ้าเราดีแล้วมีคนบอกเราไอ้ชั่ว ไอ้ทิฐฐิเลว ไอ้สันดานหยาบ ซึ่งเราไม่ได้เลวอย่างเขาว่า
เราจะเลวเพราะคำคนอื่นว่าไหม และกลับกันเราจะดีเพราะคำชมคำพูดพวกนั้นไหม?
มีวลีหนึ่งซึ่งเป็นความจริงและมีความหมายที่ครอบคลุมเรื่อง Mind Set ทั้้งหมด นั่นคือ
เราไม่สามารถบังคับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่เราสามารถกำหนดมุมมองของเราต่อสถานการณ์นั้นได้ นั่นหมายถึงเราจะไปหวังเปลี่ยนโลกนั้นมันเปลี่ยนไม่ได้ครับ เราต้องมาเปลี่ยนที่วิธีคิดและมุมมองของตัวเอง
วันนี้หากใครยังไม่เห็นค่าของเรา ยังสู้เรามองไม่เห็นค่าของตัวเองไม่ได้
อย่าเป็นเราเองเลยครับที่คิดแย่ๆกับตัวเองแบบนั้น
น้องๆบางคนอาจสอบได้ที่ท้ายๆของห้องทั้งๆที่พยายามทำเต็มที่แล้ว ก็อย่าไปเสียใจครับ บางครั้งเราลองคิดกลับกัน ที่1ของห้องอาจจะเรียนพละสู้น้องไม่ได้เลยก็ได้ แต่พอดีการศึกษาไทยมันไปวัดกันในห้องสอบซะหมดว่าข้าเรียนเก่ง ผมบอกได้เลยว่าเรียนเก่งไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะประสบความสำเร็จ ล้านเปอร์เซ็น
โลกนี้ล้วนเกื้อหนุนและพึ่งพากันและกัน ล้วนเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน ทุกๆคนคิดดูสิครับ
ถ้าวันนี้ไม่มีคนสอบได้ที่โหล่ จะมีที่ 1 ไหม?
ถ้าไม่มีคนแพ้ และจะมีคนชนะไหม?
ถ้าไม่มีความมืด จะมีความสว่างไหม?
ถ้าไม่มีคนจน แล้วจะมีคนรวยไหม?
ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดมาทำหน้าที่ของตนเองเพื่อเกื้อหนุนสิ่งอื่นๆให้เป็นไป เป็นหยินหยาง วันนี้เราแพ้เพื่อให้คนอื่นชนะ วันหน้าเราชนะเพื่อให้คนอื่นรู้จักความพ่ายแพ้ วันนี้เราอ่อนแอเพื่อวันหน้าเราจะได้เข้มแข็ง วันนี้เราล้มเหลวเพื่อวันหน้าเราจะได้ความสำเร็จ เพราะไม่มีใครจะเกิดมาแล้วสำเร็จเลยหรอกครับ ล้มเหลวมาก่อนกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าใครคิดได้ก่อนกันแค่นั้นเอง
ดังนั้นเราเองต้องหามุมที่เรามีประโยชน์ มุมที่เรามีความสามารถ และรักที่จะทำมันให้เจอครับ
ถ้าหาไม่เจอ เราจะถูกกลืนด้วยระบบตัดสินพิพากษาแบบทุนนิยมในไม่ช้า
แล้วคุณค่าจริงๆของเรามันต้องเป็นเราที่ค้นเจอเองครับ ไม่ใช่คนอื่นมาค้นให้
ผมขอเป็นกำลังใจและขอทิ้งท้ายกับบทความแนวเซน เพื่อให้กำลังใจทุกๆท่านที่กำลังคิดว่าตนเองไม่มีประโยชน์และ ท้อแท้ในชีวิตนะครับ
ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร
ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ
และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง...แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล
จากลำธารกลับสู่บ้าน....จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำ
กลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง....ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ
ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง ...ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา
หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น
วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า "ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะ
รอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าที่ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่กลับไปยังบ้านของท่าน"
คนตักน้ำตอบว่า "เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า...
แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่งเพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่....
ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้าและทุกวันที่เราเดินกลับ...
เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเล็ดพันธุ์เหล่านั้น
เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว
ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว..เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้"
คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง...
แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น
อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้....
สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น..
และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น