หากวันนี้เรายังไม่ประสบความสำเร็จ เป็นไปได้ว่า "ราก" หรือ "ความคิด" ของคุณอาจเป็นชุดที่ออกผลผลิตของความล้มเหลว มากกว่าความสำเร็จก็เป็นได้...
ทำไมความคิดถึงกำหนดชีวิตของคนได้?
You are What you Thinks "คุณคิดยังไงก็เป็นคนแบบนั้น"คำๆนี้เป็นที่คุ้นหูมานาน แต่หากศึกษาเรื่อง Mindset อย่างลึกซึ้ง จะทำให้รู้ได้เลยว่าคำๆนี้ "โคตรจริง"
ความคิดกำหนดเรื่องราวทุกอย่าง สรรพสิ่งบนโลกล้วนหมุนไปตามความคิด จนเกิดเป็นอีกทฤษฎีหนึ่ง ที่ชื่อว่า "คุณมองโลกนี้แบบไหนคุณก็เป็นคนแบบนั้น" ความคิดก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ความรู้สึกก่อให้เกิดพฤติกรรม เมื่อเกิดความคิดอะไรก็ตามเราคุณเคยรู้สึกบ้างไหมว่าโลกเราทำไมเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เช่นถ้าคณคิดว่าคุณถูกเอาเปรียบเสมอ คุณจะพบว่าทุกๆคนต้องการผลประโยชน์จากตัวคุณ และเข้ามาในชีวิตคุณเพราะผลประโยชน์เท่านั้น จริงๆมันไม่ได้ผิดที่โลกหรือคุณอื่นหรอกครับ แต่เพราะ mindset(ชุดความคิด) ที่คุณสร้างขึ้นมันดึงโฟกัสของคุณให้มองทุกอย่างบนโลกนี้เอาเปรียบนั่นเอง ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว การที่คุณมองโลกเอาเปรียบ ลึกๆคุณอาจมี character เอาเปรียบคนอื่นเช่นกัน นั่นคือ "คุณมองโลกนี้แบบไหนคุณก็เป็นคนแบบนั้น"
ลำดับความคิดจนก่อให้เกิดฤติกรรม เขียนเป็นลำดับได้ดังนี้
ยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ
คนๆหนึ่งอยู่กับความผิดหวังมาทั้งชีวิตและคิดแต่ว่าทำไมชีวิตฉันถึงเป็นแบบนี้ โดยชุดความของเขาคือคิดทบทวนหาสิ่งที่พอจะโยนความผิดให้กับมันได้ยกเว้นแต่ตัวเอง...คนนี้เอาเปรียบ, คนนั้นได้ดีเพราะบ้านรวยกว่าเรา, คนนั้นคอยชะเลียเจ้านายจึงได้ดี, งานนี้ไม่เหมาะกับฉันหรอก, ฉันไม่อยากจะทดลองทำงานอะไรใหม่ๆเพราะเดี๋ยวฉันทำเป็นฉันต้องทำงานหนักกว่าเดิม, ความคิดเหล่านี้เรียกว่า Thought
เมื่อได้ Thought ความคิดนั้นจะส่งต่ออย่างรวดเร็วทำให้เกิดกระบวนการต่อไป นั่นคือ
ความรู้สึก (Feeling) หากความคิดติดลบมาก จะก่อให้เกิดความรู้สึกต่อเรื่องที่คิด ในรูปแบบของความทุกข์ บีบคั้น ตรงกันข้ามคนที่มี ทัศนคติหรือความคิดต่อเรื่องราวที่พบเป็น Thought ทางบวก Feeling ก็จะเป็น บวกเช่นเดียวกัน
Feeling นี้จะส่งผลกระทบให้เกิดการโฟกัสไปยังจุดที่ตนเองรู้สึก เช่นคิดลบ โฟกัสไปที่ลบๆ , คิดบวก โฟกัสไปที่บวกๆ เลยเป็นสาเหตุให้เมื่อเรารู้สึกลบจะเจอแต่คนลบๆ เรื่องลบๆ
เมื่อเกิด Feeling สิ่งต่อมา คือความรู้สึกจะส่งต่อให้เกิด Action หรือ พฤติกรรม นั่นเอง
พฤติกรรมแย่ๆ เช่นพูดจาเสียดสี ดูถูกผู้อื่น หรือแม้แต่คอยบล๊อคความคิดผู้อื่น พฤติกรรมเหล่านี้ ล้วนสะท้อนออกมาจากจิตใต้สำนึก ของเจ้าของล้วนๆ
ยกตัวอย่างได้ยินเสียงหมาเห่า(แหม่..ยกตัวอย่างได้ดีจัง...เอาเสียงหมาเนี่ยแหละชัดครับฮ่าๆ) คนนึงมีความคิดว่าหมามันก็เห่าเป็นธรรมดา เสียงหมานี้จะไม่อยู่ในความสนใจของเขาอีกต่อไป แต่ถ้าอีกคนเกิดความคิดที่ไม่ดีต่อเสียงหมาหรือกำลังมีภาวะลบอยู่ในความคิด จากจิตใต้สำนึกจะยิ่งโฟกัสเสียงหมาเห่าจะชัดและดังขึ้นเรื่อยๆในความรู้สึกของเขา จนเขาเริ่มรู้สึกรำคาญ ความคิดและความรู้สึกนั้นจะเร่งหาเหตุผล พิพากษา หมาและผู้เกี่ยวข้องกับหมาตัวนั้นทันที (ยิ่งองค์ความรู้เยอะ วลีเยอะ การศึกษาเยอะ ยิ่งหาเหตุผลได้มากแต่เอามาใช้ในทางที่ผิด) เกิดพฤติกรรมขึ้นแก่เจ้าของความคิด เช่น วิ่งไปเตะหมาหรือไม่ก็เดินหนีและบ่นเป็นหมีกินผึ้ง, เดินไปด่าเจ้าของหมา เป็นต้น
ดังนั้นหากเราพิจารณาถึงต้นขั้วทุกอย่างแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราล้วนมาจากความคิดชุดดั้งเดิมของเราทั้งสิ้น ซึ่งไม่ได้หมายถึงเราต้องโละความคิดของตัวเราทั้งหมดนะครับ (ไม่ใช่หุ่นยนต์นะ) แต่เลือกหมวดความคิดที่ต้องการจะเปลี่ยนด้านจากคนปกติเป็นประสบความสำเร็จ จากด้านชั่วเป็นด้านดี เท่านั้นเอง
T. Harv Eker ให้ทางออกเรื่องความคิดไว้ว่า หากคุณต้องการเปลี่ยนความแย่ๆของคุณ คุณต้องใส่ความคิดชุดใหม่ให้แทนที่ความคิดชุดเดิมลงไป นั่นเอง
ซึ่งการหาความคิดชุดใหม่ของตัวผมเองได้จากการ เรียนรู้ความคิดด้านบวกของคนอื่น ด้วยการฟัง อ่าน พูดคุย และคิดตาม หรือไม่ก็เกิดจากใช้หลักธรรมในพระพุทธศาสนา(ซึ่งใช้ได้ผลดีจริงๆครับ) เช่นเข้าใจธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งว่ามันมีความแปรปรวนไม่เที่ยง รู้จักปล่อยว่าง ไม่เอาความคิดไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ไม่คาดหวังว่ามันต้องเป็นอย่างใจเราคิดเสมอ
เช่นเดียวกันหากเราต้องการประสบความสำเร็จ ทางลัดคือ เรียนรู้ความคิดและความผิดพลาดจากประสบการณ์ของคนที่สำเร็จ, จัดการความคิดเชิงลบของตนเอง, จากนั้นความคิดชุดใหม่จะทำหน้าที่หล่อหลอมความคิดที่เป็นสไตล์ของเราเอง โดยเรียนรู้มันทุกวันสม่ำเสมอ มีสติใช้ความคิดดีแทนที่ความคิดแย่ๆ บ่อยๆ ตอนแรกอาจจะยาก แต่ทำไปเรื่อยๆ ความคิดแย่ๆนั้นจะเริ่มเบาบางลงและไม่แสดงตัวออกมาเวลาเจอเหตุการณ์ และนั่นคือบันใดก้าวแรกของเราทุกคนครับ
ทิ้งท้ายไว้สักนิด...ในโลกนี้ไม่มีเรื่องฟลุ๊ก ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงและเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เป็นเหตุและผลต่อกัน เสมอ หากเราเลือกที่จะประสบความสำเร็จ เราก็จะได้รับความสำเร็จตามความสามารถและทักษะของแต่ละบุคคล (ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องรวยเหมือนบิลเกตต์นะครับ เด๋วทุกคนมาบอกว่าฉันคิดดีแล้วนะทำไมยังไม่ได้เป็นผู้จัดการ) หากอยากเพิ่มเพดานความสำเร็จ สิ่งต่อมาที่คุณต้องทำก็คือฝึก Passive Skill และพัฒนาตนเอง ให้เกิดความชำนาญ ซึงความชำนาญและความสามารถนั้นจะยอดเยี่ยมหากได้ทำในสิ่งที่ตัวคุณเองรักและชอบมันจริงๆ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น