12/12/2557

ใบปริญญา ราคาเท่าไหร่?


ก่อนอื่นที่ตัดสินใจที่เขียนเรื่องการศึกษา ทั้งๆที่รู้ว่ามันละเอียดอ่อน แต่อดไม่ได้ที่จะเขียน ตัวผมเองไม่มีเจตนาดูถูกการศึกษาของไทย หรือต่อว่าอาชีพครูใดๆทั้งสิ้น ผมอยากนำเสนอข้อคิดนึงที่เป็นการเตือนสตินักเรียนนักศึกษามากกว่า การจะไปเปลี่ยนแปลงระบบการสอนในไทย

ความเชื่อที่ถูกสอนกันมาโดยตลอด คือตั้งใจเรียน เรียนเก่งๆเกรดดีๆ ได้ปริญญา ทำงานบริษัท นี่คือความเชื่อที่มี ตรรกะพิสดารอีกอย่างหนึ่งในประเทศไทย แนวคิดนี้ก่อให้เกิด การกระทำซึ่งผมอยากเรียกมันว่าการล่าใบประกาศฯ คือลูกต้องได้เรียนที่ดีที่สุด สูงที่สุดในระบบการศึกษา ยิ่งเดี๋ยวนี้ต้อง Inter ทำให้ต้องทำรายจ่ายใหม่หมดตั้งแต่ เกิดจนจบปริญญา แบบ Inter แตะมูลค่าร่วม 20 ลบ.

ผมแทบไม่อยากเชื่อว่ามันจริง เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดถึงรายจ่ายของพ่อแม่เลยในขณะที่ตนเองยังศึกษาอยู่ จนวันนี้เป็นพ่อคน เลยมานั่งนึกถึงรายจ่ายพ่อแม่ที่ส่งเสียลูกคนนึงได้เรียนจนจบ ขนาดงูๆปลาๆเกเรๆ อย่างผม มูลค่าเกือบ 5 ลบ. ไม่ต้องนับเรื่องเรียนแบบ Inter เลยด้วยซ้ำ

เราลืมไปหรือเปล่าว่าสังคมไทย และ ประเทศไทย เงินเดือนคนจบ ป.ตรี มันเริ่มที่ 1x,xxx บาทเท่านั้นเอง และระบบการทำงานที่แทบจะไม่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ไฟแรงมาเสนอหน้าต่อธารกำนัลเลย เพราะของพวกนี้ต้องแลกมาด้วยประสบการณ์ทำงานจริง และความสามารถในการตัดสินใจอันชาญฉลาด ในสถานะการณ์ที่บีบคั้น เกินกว่าภาวะเด็กจบ ป.ตรี ในไทยจะรับมือมันได้ ถ้าเทียบเป็นการลงทุน มันเหมือนเป็นการลงทุนซื้อเบนซ์มาขับโชว์ เพื่อให้ดูดี แต่ไม่ตอบโจทย์การใช้งาน หรือความต้องการของคนลงทุนเอาซะเลย เหมือนมีไว้ให้มีอะไรตอบคนอื่นเวลาโดนถามแค่นั้นเอง ว่า "จบจากไหนมา"

ผมสงสารที่สุดคือชาวบ้านชาวนาที่ส่งลูกมาเรียนในเมือง บางคนขายไร่ ขายสวน ขายควาย ส่งลูก แต่ที่ได้กลับมาคือ 1x,xxx บาท ต่อเดือน นี่ยังไม่นับภาพมายาที่จะคอยฉุดลากลูกเต้าของคุณให้หลงไปกับความฟุ้งเฟ้อในเมืองอีกนะครับ  วันนี้เด็กที่เรียนจบคุณควรเอาความรู้กลับไปพัฒนาบ้านเมืองเกิดคุณถึงจะถูกกว่ามาเป็นลูกจ้างชั้นดีให้ใครก็ไม่รู้แบบนี้

การศึกษาไทยในความรู้สึกผม มันผลิตเด็กให้ออกมาเป็นลูกจ้างที่ดีของบริษัทฯ มากกว่าผลิตเด็กที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษในสาขาที่เรียนจริงๆ ยิ่งแนวคิดและหลักการเรียนรู้วิธีเรียนรู้ (learn how to learn) ยิ่งไม่มีในแบบเรียน แต่ดันผลิตโมเดลต้นแบบแห่งทิฐิมานะขึ้นมาแทน "ข้านี่เก่งสุดๆ ข้าจบเกียรตินิยม ข้าจบอินเตอร์" คนพวกนี้น่าเห็นใจมากครับ เขาแบกตัวกูของกูเยอะจนไม่มีพื้นที่ให้ความรู้ใหม่ๆแทรกลงแก่นกะโหลกบ้างเลย และเขาจะเข้าใจว่าข้ารู้หมด ข้ารู้แล้ว สุดท้ายก็มาเป็นเป็นพนักงานชั้นดีที่รายได้มากกว่าคนอื่นหน่อย และก็ติดกับดักหนี้สินระบบทุนนิยม ที่พวกนายทุนข้ามชาติเขาวางหลุมพรางไว้หมดก่อนคุณจะจบออกมาจากรั้วมหาวิยาลัยเสียอีก สยองมั้ยล่ะครับ

ในประเทศที่เจริญแล้วเขาให้ความสำคัญในการสร้างความเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพมากกว่าสอนให้มาเป็น ลูกจ้างที่ดี ในเมืองนอกคุณเป็นช่างเหล็กก็รวยได้ถ้ามีความเชี่ยวชาญและเก่งจริงๆ เด็กนักศึกษามีการฝึกงานในระหว่างที่เรียน มีการทำโปรเจ็คที่เหมือนงานจริงตามสายงานที่เด็กคนนั้นถนัด จนเมื่อจบ เด็กคนนั้นก็มีความสามารถในสายอาชีพเขาในระดับที่ไม่ธรรมดา

ใบปริญญามันไม่ได้บอกถึงภาวะหรือประสบการณ์ในการทำงานจริงเลยในไทย แต่มันหมายถึงคุณทำตามคำสั่งอาจารย์ได้ดีแค่ไหนต่างหาก และวันที่สอบคุณอ่านหนังสือมาตรงกับที่ออกก็แค่นั้น มันไม่มีการเรียนซ้ำแบบ Kumon จนเกิดความเชี่ยวชาญ คนที่ตกวันนี้ ถ้าเขาได้ทำซ่้ำเรียนซ้ำๆ เขาอาจจะเก่งกว่าคนที่สอบครั้งเดียวผ่านก็ได้ แล้วก็มาตัดเกรดกันว่าเอ็งอ่อน เอ็งตก จากการวัดผลครั้งเดียว ซึ่งในหลายๆประเทศเขาเลิกการตัดเกรดเด็กนักเรียนแบบนี้แล้วนะครับ มันไม่มี  "F" แต่เขาให้เป็น "คุณยังไม่เหมาะสมที่จะเรียนในวิชานี้ ณ ปัจจุบัน โอ้โหฟังดู make sense กว่ากันเยอะว่ามั้ยครับ

ฉะนั้นหากคุณเป็นพ่อแม่คนแล้ว อย่าลืมสร้างทักษะ Learn how to Learn (เรียนรู้วิธีเรียนรู้) ช่วยลูกคุณหาความต้องการของเขาโดยไม่บังคับจิตใจ และไม่ได้บังคับให้เขามาเป็นอย่างคุณ แต่ควรบอกวิธีคิดแบบบวกๆให้เขา และให้หัดปล่อยวางให้เป็น โดยการสอนที่ดีที่สุดคือ "การทำตัวเป็นตัวอย่าง"(ยืมอาจารย์ วรภัทรมาครับ) ซึ่งหากเรายังไม่มีจุดนี้ ไม่สายที่เราจะค่อยๆปรับเปลี่ยนวิธีคิดและพัฒนาตนเองไปพร้อมกับเด็กๆครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น