1/02/2558
ป้ายกำกับชีวิต คิดบวก คิดลบ
เชื่อหรือไม่ทุกๆคนมีป้ายกำกับชีวิตของตัวเอง ป้ายนี้มีพลังอำนาจที่มองไม่เห็น
แต่สามารถควบคุมความสำเร็จหรือล้มเหลวของตัวบุคลได้
ป้ายนี้เหมือนการ Tag ในโลกโซเชียล ไม่ได้ออกโดยกระทรวงใดหรือแม้แต่ศาลโลก แต่มีความยุติธรรมที่สุดในเอกภพ คนที่ออกป้ายกำกับนี้คือ ตัวเราเอง
หลายครั้งในชีวิต เราติดป้ายกำกับให้กับตัวเองโดยไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่เป็นเรื่องแย่ๆ ทั้งนั้น เหมือนการตั้งสถานะให้กับตัวเอง เช่นฉันมันซวย ฉันล้มเหลว ฉันไม่มีทางทำมันได้ ฉันไม่รวย ซึ่งลึกๆไม่เราไม่ได้ป่าวประกาศ สถานะนี้กับใคร แต่มันถูกติดลงไปแบบเงียบๆเหมือนเพื่อนแกล้ง ติดป้ายเตะก้นฟรี ที่ข้างหลัง เหมือนสมัยเด็กๆ และสุดท้าย เราก็เป็นอย่างป้ายที่ติดไว้จริงๆ (โดนเตะนั่นเอง)
คนๆหนึ่งติดป้ายกำกับที่ชื่อว่า ฉันโดนเอาเปรียบ ฉันทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ทุกวันๆ เชื่อหรือไม่ เขาคนนั้นก็ไม่เคยทำอะไรสำเร็จจริงๆ โลกนี้ดูเหมือนจะทำร้ายเขา กดเขาให้จมลงสู่ทะเลแห่งความสิ้นหวัง ตลาดกาล
การคิดลบๆ มันเป็นอะไรที่ง่ายดาย กว่าการคิดบวก มันถูกซึมซับและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเสมอ ในภาษาผม ผมมองมันว่าเป็นกิเลส แน่นอนสัตว์โลกล้วนเกิดมาพร้อมกิเลสติดมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แม้ไม่แสดงตัวออกมาในเบื้องต้น มันจะมีพลังดึงดูดความคิดชั่วร้ายใส่ตัวเองเสมอ สะสมเป็นชุดความคิดที่มาพร้อมตรรกะ และตัวตนแบบสุดโต่ง แต่ใจเจ้ากรรมรู้ไหม ทั้งบุญและบาปถูกกำหนด ให้ใจเจ้าของเป็นผู้เสวย ทุกข์และสุข บาปหรือบุญทั้งสิ้น ไม่มีผู้อื่นผู้ใดรับผลของมันนอกจากตัวเราเอง
ผมคนหนึ่งซึ่งเคยคิดลบมาทั้งชีวิตและเห็นผลลัพธ์อันน่ากลัวของมันมาแล้ว กิเลสเหล่านี้มันไม่ได้แสดงตัวเป็นของน่าเกลียดหรือน่าชังเลย หากตามรู้มันไม่ทัน มันมักจะมาในรูปลักษณ์ที่งดงาม ความสุขสบาย ในเบื้องต้นเสมอ เมื่อเราหลงไปกับมัน มันก็จะค่อยๆกลืนกิน ดึงเราไปสู่ทางเสื่อมทีละนิดทีละนิด พอรู้ตัวอีกทีเราก็อยู่ปากเหวเสียแล้ว แต่ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ การกลับตัวหรือปรับปรุงตัวไม่มีคำว่าสายเกินไป ทางออกมันไม่ใช่ว่าจะเลิกคิดลบได้ในบัดดล มันต้องใช้การพิจารณา ใช้ปัญญามองสภาพความเป็นจริง ว่าไอ้ที่ว่าดี ว่าสุขสบายในเบื้องต้นน่ะ ตอนนี้ชีวิตเรามันเป็นยังไง ทำไมยังมานั่งเก๊กซิมทำเรื่องบ้าๆอยู่แบบนี้ พอมันเห็นชัด เราจะเห็นโทษของมันทันที
"คิดลบมาทั้งชีวิตแล้ว ทำตัวแบบเดิมๆมานานแล้ว ผลมันเป็นยังไง ทำไมไม่หัดคิดบวกบ้าง หัดยับยั้งชั่งใจบ้าง ลองทำกลับกันมั่งสิวะ"
แม้ในวันนี้เรายังมีกิเลสอยู่ก็จริง แต่สติและความคิดบวกจะคอยพยุงเราไม่ให้ลงไปทางต่ำเหมือนเดิม เรียกได้ว่าเข็ด จากที่เราเคยไหลไปกับเรื่องที่มากระทบอย่างรวดเร็ว ความคิดบวกมันจะมาในรูปแบบของความเอะในเสมอๆ และมันจะบ่อยขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่การลังเลอย่างที่หลายๆคนชอบว่าเรา การลังเลคือไม่ตัดสินใจ แต่การฉุกคิดคือการตัดสินใจช้าลง 1 จังหวะเท่านั้นเอง ซึ่งมักจะมีผลดีกว่ารีบตัดสินใจด้วยซ้ำ
เราไม่สามารถกำหนดสถานะการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ แต่เราสามารถกำหนดทัศนคติต่อเหตุการณ์นั้นๆได้ มันหมายถึงว่าเราไม่สามารถที่จะกำหนดให้เราเจอแต่เรื่องดีๆไปทั้งชีวิตได้ก็จริง แต่เราก็เลือกที่จะมองเรื่องแย่ให้เป็นเรื่องดีได้ กลับกันเรามองเรื่องดีให้เป็นเรื่องแย่ได้เช่นกัน และมันจะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถเปลี่ยนพลังลบที่เข้ามาในชีวิตซึ่งมีมากมายเหลือเกิน ให้เป็นพลังบวกแก่ตัวเราเองได้ เราคงจะมีความสุขไม่น้อย เสมือนดั่งทั้งจักรวาลร่วมเป็นพลังให้กับเรา
กลับมาที่การติดTag หรือการกำหนดสถานะของตัวเราเองดีกว่าครับ(เดี๋ยวมันจะยาว) การคิดบวกแบบง่ายที่สุดคือการคิดดีกับตัวเองก่อน มองตัวเองในรูปแบบใหม่ก่อน สิ่งแรกที่เราควรเริ่มเปลี่ยนคือ เลิกติดสถานะแย่ๆให้กับตัวเอง แล้วหัดติดสถานะเจ๋งๆให้ตัวเองแทน
ก่อนออกจากบ้าน ลองยืนมองตัวเองในกระจกและบอกกับตัวเองว่า ฉันเก่ง ฉันมั่นใจ ฉันหล่อ ฉันสวย ฉันทำได้ วันนี้ต้องมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นกับฉัน ฉันต้องเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ย้ำว่าต้องบอกตัวเองคนเดียวนะครับ ไม่ใช่ไปเที่ยวเดินบอกชาวบ้าน แบบนั้นมันเข้าขั้นบ้า และหลงตัวเอง เราแค่นิยามให้ตัวเองแบบเงียบๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการติดสถานะบวกๆให้กับตัวเอง มันจะมาแบบไม่เงียบแน่นอน
ขอให้ทุกๆคนโชคดี สวัสดีปีใหม่ 2015 ครับ
ป้ายกำกับ:
Live And Learn,
MindSet
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น